บทความน่ารู้, สาระน่ารู้เรื่องสายตา

ตรวจสุขภาพตาเชิงลึกสำหรับเด็ก ลดปัญหาความเสี่ยงต่อพัฒนาการและการเรียนรู้

OCR_Blog-Child-Eye-Exam-Cover

ขั้นตอนการตรวจวัดสายตาและระบบการมองเห็นในวัยเด็กที่ Occura มีอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร

การตรวจสุขภาพสายตาในเด็กถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการมองเห็นที่ชัดเจนเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้ หากสามารถตรวจพบความผิดปกติทางสายตาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพัฒนาการด้านการเรียนรู้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปัญหาสุขภาพตาที่พบได้บ่อยในเด็ก เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง ตาขี้เกียจ ตาเข ตาเหล่ หรือแม้แต่ตาเหล่ซ่อนเร้น ก็สามารถส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาการโดยรวมได้เช่นกัน

โดยการตรวจสายตาและสุขภาพตาของเด็กมีดังต่อไปนี้:

 

 

1. การตรวจสุขภาพตาส่วนหน้าด้วยเครื่อง Slit Lamp และเครื่อง WAM

ขั้นตอนนี้จะใช้กล้อง Slit Lamp Biomicroscope ร่วมกับเครื่อง Wave Analyzer Medica เพื่อตรวจสอบความสามารถในการรับแสงของดวงตาว่าเป็นปกติหรือไม่ เนื่องจากการที่แสงสามารถผ่านเข้าสู่ดวงตาได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง จำเป็นต้องอาศัยสุขภาพตาส่วนหน้าที่สมบูรณ์ ไม่เป็นโรคตา มีชั้นน้ำตาที่แข็งแรง และไม่มีความผิดปกติทางโครงสร้างหรือสรีระของดวงตา โดยสิ่งที่ควรตรวจเช็คมีดังนี้

  • เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) : พบได้บ่อยที่สุด เนื่องจากเด็กมีภูมิคุ้มกันต่ำและมักเอามือสกปรกมาโดนดวงตา สาเหตุเกิดจากไวรัส แบคทีเรียหรือภูมิแพ้ จะทำให้มีอาการตาแดง มีขี้ตามาก คันตา น้ำตาไหล หากมีอาการมาก มักส่งผลกระทบต่อการมองเห็นชั่วคราว
  • เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) : บริเวณขอบเปลือกตาของคนเราทุกคนจะมีต่อมไขมันที่เรียกว่า Meibomian Gland ทำหน้าที่สร้างน้ำมันมาผสมกับน้ำตาเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาระเหยเร็วเกินไป แต่ในเด็กจะมีรูเปิดของต่อมนี้ค่อนข้างเล็กและอุดตันง่าย เนื่องจากต่อมยังพัฒนาไม่เต็มที่ หรือมีสิ่งสกปรกอุดตัน ส่วนอาการจะพบเปลือกตาบวมแดง คัน ตามัวชั่วคราว มักเป็นเรื้อรังและกำเริบบ่อย แบบเป็นๆหายๆ จึงควรวัดสายตาในช่วงที่ไม่แสดงอาการ
  • กุ้งยิง (Hordeolum) : มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ต่อมไขมันบริเวณขอบหรือด้านในเปลือกตา จากการนำมือที่สกปรกมาสัมผัสดวงตา จนเกิดการอักเสบเป็นตุ่มนูนขึ้นมา และอาจมีผลกระทบต่อการมองเห็นชั่วคราว
  • กระจกตาอักเสบ (Keratitis) : สาเหตุเกิดจากติดเชื้อหรือขยี้ตารุนแรง มักพบในเด็กกลุ่มที่เป็นภูมิแพ้ตาหรือใส่คอนแทคเลนส์ จะมีอาการตาแดง ปวดตา แพ้แสง ตามัว น้ำตาไหล ยังไม่ควรวัดสายตา และควรได้รับการรักษาตามสาเหตุทันที
  • ม่านตาแหว่งแต่กำเนิด (Iris Coloboma) : ม่านตาจะมีรูแหว่งลักษณะเหมือนหยดน้ำหรือลูกแพร์ เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมตั้งแต่กำเนิด ถ้ามีปัญหาแสงเข้าตามากเกิน อาจใช้แว่นกรองแสงหรือคอนแทคเลนส์พิเศษ ควรติดตามค่าสายตาและการมองเห็นอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia)
  • ต้อกระจกในเด็ก (Prediatric Cataract) : คือภาวะที่เลนส์แก้วตาซึ่งควรจะใส กลับขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถผ่านไปถึงจอประสาทตาได้เต็มที่ ส่งผลต่อพัฒนาการของการมองเห็นอย่างรุนแรง หากสังเกตจะพบว่าเด็กมีอาการมองไม่เห็นสิ่งของหรือไม่มองตามวัตถุที่เคลื่อนที่ หากแก้ไขช้าจะทำให้เกิดตาขี้เกียจหรือสูญเสียการมองเห็นถาวร
  • หนังตาตกในเด็ก (Prediatric Ptosis) : เกิดจากกล้ามเนื้อยกเปลือกตาพัฒนาไม่สมบูรณ์ตั้งแต่ในครรภ์ อาจเกิดร่วมกับภาวะกล้ามเนื้อผิดปกติหรือกลุ่มโรคทางระบบประสาท มีอาการเด่นคือเด็กจะชอบมีพฤติกรรมเงยหน้าขึ้น ดวงตาสองข้างโตไม่เท่ากัน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาอาจส่งผลให้เป็นตาขี้เกียจได้

หากไม่พบความผิดปกติของสุขภาพตาและสรีระตาส่วนหน้า จะเข้าสู่ขั้นตอนก่อนตรวจหาค่าสายตาต่อไป

 

Child Comprehensive Eye Examination

 

2. ตรวจวัดค่าสายตา

การตรวจค่าสายตาเบื้องต้น จะเริ่มด้วยเครื่อง Wave Analyzer Medica (WAM) ซึ่งสามารถประเมินสุขภาพตาส่วนหน้าอย่างละเอียดและวิเคราะห์ปัญหาการมองเห็นได้ครอบคลุม โดยใช้ร่วมกับ เครื่อง Retinoscope เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการวัดค่าสายตา เนื่องจากสามารถตรวจจับแสงสะท้อนจากจอประสาทตาได้โดยตรง

หลังจากได้ค่าสายตาเบื้องต้นแล้ว นักทัศนมาตรจะตรวจต่อด้วยเครื่อง Digital Phoropter พร้อมทั้งคลายกล้ามเนื้อตา เพื่อให้ได้ค่าสายตาที่แม่นยำและเหมาะสมที่สุด จากนั้นจะให้เด็กทดลองใส่แว่นด้วย Trial Frame เพื่อปรับจูนค่าสายตาให้เหมาะกับช่วงวัยและชนิดของค่าสายตาอีกครั้ง

<ข้อควรทราบ>

การจ่ายค่าสายตาในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า6ปี ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าสายตาเต็มเสมอไป ขึ้นอยู่กับชนิดและระดับของสายตาที่ผิดปกติ เนื่องจากดวงตาของเด็กยังเจริญเติบโตอยู่และสามารถ “ชดเชย” สายตาผิดปกติได้บางส่วน ถ้าจ่ายค่าสายตาเต็มทันที โดยเฉพาะในกรณีสายตายาวแต่กำเนิด อาจรบกวนกระบวนการ emmetropization ทำให้พัฒนาการของค่าสายตาไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เราจึงมักจะ “จ่ายไม่เต็ม” โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Under Correction ยกเว้นกรณีที่มีความเสี่ยงต่อ ตาขี้เกียจ หรือมีภาวะตาเขร่วมด้วย นักทัศนมาตรอาจเลือกจ่ายค่าเต็มเพื่อป้องกันระบบการมองเห็นที่อาจพัฒนาไม่สมบูรณ์

 

Child Comprehensive Eye Examination with Trial Lens

3. ตรวจสอบการทำงานของกล้ามเนื้อตาและระบบการเพ่ง

เมื่อได้ค่าสายตาที่เหมาะสม นักทัศนมาตรจะตรวจระบบการมองเห็น 2 ระบบ ได้แก่ ระบบการทำงานของกล้ามเนื้อตา (Binocular Function) และระบบการเพ่ง (Accommodative) เพื่อประเมินอาการตาเข ตาเหล่ , ตาเหล่แอบแฝง , ตาสั่น(Nystagmus) , ตาเหล่เข้าจากการเพ่งมากเกินไป (Accommodative Esotropia) โดยความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อตาในเด็กส่วนใหญ่สามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่ยังเล็ก และควรได้รับการตรวจทันที เพื่อวางแนวทางการรักษาอย่างเหมาะสม เช่น การใส่แว่น ฝึกกล้ามเนื้อตา ปิดตาข้างดีเพื่อให้ข้างที่ด้อยกว่าได้ทำงานบ้าง หรือการผ่าตัดกล้ามเนื้อตา

 

4. ตรวจตาบอดสี

การตรวจตาบอดสีในเด็กมีความสำคัญมาก เนื่องจากส่งผลต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้และการใช้ชีวิตประจำวันของเด็ก โดยมีเหตุผลที่ควรตรวจดังนี้

  • เพื่อช่วยในการเรียน : เด็กที่ตาบอดสีอาจสับสนกับสีในการเรียน เช่น การใช้สีในแบบฝึกหัด แผนภาพ แผนที่ หรือกิจกรรมศิลปะ หากครูและผู้ปกครองทราบ เด็กจะได้รับการปรับวิธีการสอนหรือใช้สื่อที่ไม่พึ่งพาสี
  • เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่าเด็กเรียนไม่รู้เรื่อง : เพราะเด็กอาจถูกเข้าใจผิดว่า “สับสน” หรือ “ไม่ตั้งใจ” หากไม่สามารถแยกแยะสีได้ เช่น สีไฟจราจร สีป้าย สีในเกมการศึกษา ฯลฯ การตรวจสามารถอธิบายสาเหตุให้ครูและพ่อแม่เข้าใจและช่วยเด็กได้ตรงจุด
  • เพื่อช่วยในการวางแผนอนาคต : เด็กที่มีตาบอดสีบางรูปแบบ อาจมีข้อจำกัดในอาชีพบางอย่าง เช่น นักบิน วิศวกรไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ หากตรวจพบเร็ว เด็กและครอบครัวจะสามารถวางแผนเส้นทางอาชีพได้อย่างเหมาะสม

5. ตรวจความสามารถในการมองเห็นภาพ 3 มิติ

การตรวจ Stereopsis (การรับรู้ภาพสามมิติจากการทำงานร่วมกันของตาทั้งสองข้าง) ในเด็กมีความสำคัญมาก เพราะเป็นตัวชี้วัดถึง พัฒนาการของการมองเห็นแบบสองตา (Binocular vision) เด็กที่ไม่มี stereopsis อาจดูเหมือน “ซุ่มซ่าม” หรือทำกิจกรรมช้ากว่าเพื่อน และมีผลต่อหลายด้านในชีวิตเด็ก ดังนี้

  • ใช้ประเมินการทำงานร่วมกันของตาทั้งสองข้าง : การมี stereopsis ใช้บ่งบอกได้ว่า ตาทั้งสองข้างมองวัตถุไปยังจุดเดียวกันอย่างแม่นยำและมีการรวมภาพได้ดี     หากไม่มี stereopsis หรือมีน้อย อาจเป็นสัญญาณของโรคตา หรือความผิดปกติในการประสานงานของของตาทั้ง 2 ข้าง เช่น ค่าสายตาสองข้างต่างกันมาก (anisometropia) ,ตาเข, ตาขี้เกียจ, กล้ามเนื้อตาทำงานไม่สมดุล, หรือการมองเห็นของตาข้างนึงถูกบดบังเช่นเป็น retinoblastoma (เนื้องอกในจอตา) ในตาข้างเดียว แต่ตาอีกข้างการมองเห็นปกติ ทำให้ตาข้างนึงชัดกว่าอีกข้างนึงมากๆ
  • ตรวจหาโรคที่อาจไม่แสดงอาการชัดเจน : เด็กบางคนอาจดูเหมือนมองเห็นดี แต่จริง ๆแล้วใช้ตามองแค่ข้างเดียว (monocular vision)     การไม่มี stereopsis อาจเป็นสัญญาณแรก ของโรคตาที่ไม่สังเกตเห็นด้วยตาเปล่า เช่น ตาเขที่มีขนาดมุมเล็กๆ ที่สังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้ยาก (microstrabismus)
  • ส่งผลต่อพัฒนาการด้านมิติสัมพันธ์ : มีปัญหาด้านการรับรู้เชิงลึก (Depth perception) จะมีผลเสียต่อทักษะต่าง ๆ เช่น
    • การกะระยะหยิบจับสิ่งของอย่างแม่นยำ
    • เล่นกีฬา หรือปั่นจักรยาน
    • เดินขึ้น-ลงบันได
    • ต่อบล็อก วาดภาพ เล่นของเล่นที่ต้องกะระยะ
  • มีผลต่อการเรียนและพฤติกรรม : เด็กที่มองเห็นสามมิติไม่ดี อาจมีปัญหาด้านการเขียน การคัดลอกจากกระดาน หรืออ่านหนังสือ ทำให้เสียสมาธิได้ง่าย หรืองงกับสิ่งรอบตัว

 

 

6. ตรวจสุขภาพตาส่วนหลัง 

เพื่อเช็คความปกติในการส่งสัญญาณภาพจากดวงตาไปที่สมอง โรคตาส่วนหลัง (posterior segment diseases) ในวัยเด็ก แม้จะพบได้น้อยกว่าโรคตาส่วนหน้า แต่บางโรคถือว่า รุนแรงและอาจทำให้การมองเห็นถาวรเสียหาย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาเร็ว

 

Child Comprehensive Eye Examination-Frame for Kids

 

7. เลือกกรอบแว่นสำหรับเด็กโดยเฉพาะ

การเลือกกรอบแว่นสำหรับเด็กก็มีความสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น เพราะเด็กมักเคลื่อนไหวเยอะ ซุกซน และยังเติบโตอยู่ การเลือกกรอบแว่นที่เหมาะสมจะช่วยให้เด็กใส่แว่นได้สบาย ไม่อึดอัด และใช้ได้นานขึ้น ต่อไปนี้คือเทคนิคการเลือกกรอบแว่นสำหรับเด็ก

  • ขนาดพอดีใบหน้า ปลายขาควรโค้งรับกับใบหูและไม่หลวมจนหลุดง่าย
  • น้ำหนักเบาและยืดหยุ่น ช่วยลดแรงกดที่จมูกและใบหู ใส่สบายได้นาน
  • ความทนทาน เลือกกรอบที่ไม่แตกง่าย เช่น กรอบพลาสติกเกรดดี หรือโลหะที่ไม่เป็นสนิม
  • ปลอดภัย  หลีกเลี่ยงกรอบที่มีขอบแหลม หรือชิ้นส่วนเล็กที่อาจหลุดและเผลอกลืนได้ หากเลือกกรอบโลหะ ควรตรวจสอบว่าไม่มีสารที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้
  • ขาแว่นแบบมีสายรัด เด็กเล็กมักทำแว่นหล่นหรือถอดเอง ควรใช้แว่นที่มีสายคล้องหรือยางรัดด้านหลังศีรษะ
  • ให้เด็กมีส่วนร่วมในการเลือก เด็กจะใส่แว่นได้นานและเต็มใจมากขึ้น ถ้าได้เลือกสีหรือแบบที่ชอบเอง ต้องส่งเสริมให้เด็กมองว่าแว่นเป็นของสนุก ไม่ใช่ภาระ

 

 

8. เลือกเลนส์ที่เหมาะสมกับช่วงวัย ค่าสายตาและพฤติกรรมการใช้สายตา

การเลือกเลนส์ให้เหมาะสมกับช่วงวัยและค่าสายตาก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเลนส์ที่ใช้จะส่งผลต่อค่าสายตาที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวด้วย เช่น ช่วยชะลอค่าสายตาสั้นหรือป้องกันภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากโรคสายตาสั้นชนิดรุนแรง (Myopic Degenaration)

  • กลุ่มเด็กที่เริ่มมีค่าสายตาสั้นและอายุ 6 ปีขึ้นไป(ระดับประถมขึ้นไป) จะเหมาะกับเลนส์กลุ่มชะลอสายตาสั้น เช่น Stellest จากEssilor , MiYOSMART จากHoya เป็นต้น มีคุณสมบัติช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาสั้นได้กว่า50% ถึง 60% อย่างมีนัยยะสำคัญทางคลินิก
  • ส่วนกลุ่มที่เด็กมีค่าสายตายาวแต่กำเนิดหรืออายุต่ำกว่า 6 ปี(ไม่เกินระดับอนุบาล) จะเหมาะกับเลนส์สายตาปกติ แต่สิ่งสำคัญจะอยู่ที่กำลังค่าสายตาที่จะใส่มากกว่า ว่าจะใส่เท่าไหร่ โดยเทคนิคการจ่ายจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของนักทัศนมาตรผู้ตรวจ

 

ที่ Occura เรามีเลนส์ให้เลือกครบทุกประเภท จึงมั่นใจได้ว่าเด็กๆจะได้รับเลนส์ที่เหมาะสมที่สุดกับค่าสายตา ช่วงวัย และพฤติกรรมการใช้สายตาในแต่ละวันอย่างแท้จริง

 

ที่โอคูระ (Occura Vision) ร้านตัดแว่นสายตาที่เน้นการดูแลและให้บริการตรวจวัดสายตาแบบละเอียดที่เหนือกว่าร้านตัดแว่นทั่วไป ดำเนินการโดยคุณหมอทัศนมาตรเฉพาะทาง ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจวัดสายตาที่พร้อมมอบการมองเห็นที่ชัดเจน ติดต่อได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081-611-6823 หรือทาง LINE @occura