ตาแพ้แสง มีวิธีดูแลรักษาอย่างไร
ตาแพ้แสง(Photophobia) แค่ได้ยินชื่อก็ชวนปวดหัวแล้ว เพราะชีวิตประจำวันของเรานั้นหลีกเลี่ยงแสงแดดไม่ได้ และเมื่อพูดถึงวิธีแก้ไขก็เชื่อว่าทุกคนคงนึกถึงแว่นกันแดดที่ช่วยลดอาการแสบตาเป็นสิ่งแรกอย่างแน่นอน แต่ทราบหรือไม่ว่าในบางกรณีการใส่แว่นกันแดดอาจเป็นแค่การแก้ไขที่ปลายเหตุ จะดีกว่าไหมถ้าเราแก้ปัญหาให้ถูกจุด เพราะบางคนก็คงจะไม่ได้สะดวกใส่แว่นกันแดดเสมอไป
สิ่งที่ควรทราบก่อนคือสาเหตุพบบ่อยที่ทำให้ดวงตาแพ้แสงเกิดจากได้จากอะไรบ้าง
1. สายตาเอียง
2. ตาแห้ง
3. รูม่านตากว้าง
4. มีโรคต้อลม ต้อเนื้อ
5. รับประทานยาบางชนิด เช่น ยากลุ่มNSAIDs(ยาแก้อักเสบ) ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น
6. เม็ดสีเมลานินในม่านตาน้อย(ม่านตามีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีฟ้า)
7. ไมเกรน
8. เยื่อบุตาอักเสบ(ตาแดง)
วิธีการแก้ไขตามแต่ละสาเหตุ
ตาแพ้แสงที่เกิดจากมีค่าสายตาเอียง สามารถแก้ไขให้ดวงตามีความไวต่อแสงน้อยลงได้ด้วยการใส่เลนส์สายตาทรงกระบอก เพื่อลดค่าสายตาเอียงลงมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งลดเอียงลงได้มากเท่าไหร่ อาการแพ้แสงยิ่งน้อยลงเท่านั้น
ตาแพ้แสงที่เกิดจากตาแห้ง สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้น้ำตาเทียม เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นของดวงตาจัดเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด เพราะน้ำตาเทียมหาซื้อด้วยตนเองได้ง่าย ส่วนอีกหนึ่งวิธีคือการทำสปาตา(Eyelid Spa) เป็นการทำความสะอาดเปลือกตา ต่อมไขมันบริเวณขอบเปลือกตาและขนตาทุกส่วนไม่ให้มีสิ่งสกปรกหรือเกิดการอุดตัน โดยการทำสปาตามักจะมีให้บริการในคลินิกตาบางแห่งและโรงพยาบาล
ขนาดรูม่านตาที่กว้างกว่าปกติ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แสงเข้าสู่ตาได้มากกว่าที่ควรจะเป็น จึงมีโอกาสแพ้แสงได้ง่ายกว่าผู้ที่มีรูม่านตาขนาดปกติ ขนาดของรูม่านตาเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างในภายหลังด้วยวิธีผ่าตัดได้ หากมีรูม่านตากว้างร่วมกับค่าสายตาสั้นยาวเอียงที่ไม่ได้รับการแก้ไข อาการแพ้แสงจะยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม ดังนั้นการแก้ไขด้วยการใส่แว่นสายตากันแดดหรือแว่นสายตาออกแดดแล้วเปลี่ยนสีจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
โรคต้อลม ต้อเนื้อ เป็นโรคที่ทำให้เกิดความรู้สึกแสบตาและระคายเคืองในดวงตาอยู่ตลอดเวลา เพราะต้อเหล่านี้จะทำให้เกิดอาการตาแห้งและแพ้แสงอย่างรุนแรงไปพร้อมๆกัน หากเกิดต้อขึ้นบนกระจกตาหรือตาดำอาจทำให้ค่าสายตาเปลี่ยนแปลงถาวรและการใส่แว่นสายตาจะคมชัดน้อยลง เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษาโรคที่ได้ผลอย่างถาวร ทางเลือกที่ดีคือควรหมั่นดูแลดวงตาไม่ให้โรคต้อลมต้อเนื้อกินบริเวณพื้นที่ของตาไปมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการสัมผัสต้นเหตุของโรคอันได้แก่ ความร้อน ฝุ่น การขยี้ตา การปะทะลมแรงๆเช่นขี่จักรยานยนต์โดยไม่สวมหมวกกันน็อคและปล่อยให้แสงUVโดนตาเป็นเวลานานโดยตรงแบบไม่ป้องกัน
อาการแพ้แสงที่เกี่ยวกับยา หากยังจำเป็นต้องทานยาอยู่ ก็สามารถใส่แว่นกันแดดช่วยได้ เมื่อหยุดทานยาอาการจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ
มีปริมาณเมลานินในม่านตาไม่หนาแน่น สีม่านตาจะออกโทนน้ำตาลอ่อนจางๆ หรือถ้ามีปริมาณเมลานินที่น้อยมากๆ อาจทำให้มีสีม่านตาเปลี่ยนไป เช่น สีฟ้าเป็นต้น ดังนั้นประชากรฝั่งยุโรปที่มีม่านตาสีฟ้าหรือผู้สูงวัยที่มีการผลิตเมลานินแบบผิดปกติสูงขึ้น จึงมีโอกาสแพ้แสงได้มากกว่าชาวเอเชียหรือวัยหนุ่มสาว วิธีแก้ต้องใส่แว่นกันแดดหรือหมวกขณะอยู่กลางแจ้ง
วิธีแก้สำหรับคนเป็นไมเกรนจำเป็นต้องใส่แว่นกันแดดเป็นหลัก
เยื่อบุตาอักเสบหรือตาแดง เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่นติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ขยี้ตาอย่างรุนแรง และใส่คอนแทคเลนส์ เมื่อหยุดหรือรักษาต้นเหตุที่ทำให้ตาอักเสบได้แล้วอาการแพ้แสงจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ ในระหว่างช่วงที่รอหายอักเสบ สามารถใส่แว่นกันแดดช่วยลดอาการแพ้แสงไว้ได้
ในกรณีที่มีอาการแพ้แสงและต้องแก้ไขด้วยเลนส์กันแดด เราควรเลือกซื้อเลนส์กันแดดปกติหรือเลนส์กันแดดแบบโพลาไรซ์ ?
คุณสมบัติของเลนส์กันแดดโพลาไรซ์ (Polarized Lens) จะช่วยลดแสงสะท้อนที่เข้ามาแยงตา เช่น แสงสะท้อนจากผิวถนนเวลาขับรถหรือแสงสะท้อนจากผิวน้ำเวลาไปเที่ยวทะเล ได้ดีกว่าเลนส์กันแดดแบบปกติ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความไวต่อแสงเป็นพิเศษมากๆ อย่างเช่น ผู้ที่เจอแสงจ้าแล้วจะมีอาการปวดตาไม่สบายตา แต่มีข้อควรทราบในกรณีที่มีค่าสายตา ต้องมีการแก้ไขค่าสายตาร่วมด้วยเสมอ ไม่อย่างนั้นการใส่แว่นกันแดดเปล่าๆในผู้ที่ไม่ได้รับการแก้ไขค่าสายตา อาจจะยิ่งทำให้มีอาการแย่ลงกว่าเดิม
ข้อสรุป
เมื่อแยกตามสาเหตุแล้วจะพบว่าบางอย่างก็สามารถแก้ไขให้อาการแพ้แสงทุเลาลงโดยไม่ต้องพึ่งพาแว่นกันแดดหรืออาจหายขาดได้ แต่บางสาเหตุก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาแว่นกันแดดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้